เรียนท่านผู้ถือหุ้นที่เคารพทุกท่าน
ปี 2567 เป็นอีกปีที่เศรษฐกิจไทยยังเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจทั้งจากปัจจัยภายในประเทศ และความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองและสถานการณ์สงครามตั้งแต่ปี 2565 ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ระหว่างอิสราเอลและกลุ่ม ฮามาสที่ลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางในปี 2567 ทำให้เศรษฐกิจโลกในปี 2567 เติบโตเพียงร้อยละ 2.6 ซึ่งต่ำกว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2566 ที่เติบโตร้อยละ 2.9 แม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศในทวีปยุโรปจะมีสัญญาณการฟื้นตัวและทำให้ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกาและยุโรปต่างส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องก็ตาม
สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ทำให้ไม่สามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายร้อยละ 3 ที่ได้วางไว้ แต่ยังเติบโตได้ดีกว่าปี 2566 ที่มีอัตราการเติบโตเพียงร้อยละ 1.8 โดยธนาคารแห่งประเทศไทยประมาณว่าเศรษฐกิจไทยปี 2567 จะเติบโตร้อยละ 2.7 ทั้งนี้เป็นผลมาจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 รวมถึงภาคการส่งออก และภาคการท่องเที่ยวที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงถึงร้อยละ 91.4 ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Products: GDP) ในขณะที่สัดส่วนหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Non-Performing Loans: NPLs) เพิ่มสูงขึ้นอยู่ในระดับร้อยละ 3-4 และอัตราดอกเบี้ยยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงถึงแม้คณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย จะส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ยลงมาร้อยละ 0.25 ในช่วงไตรมาสสี่ของปีก็ตาม แต่อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังคงทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 2.25 รวมไปถึงภาระหนี้สาธารณะของภาครัฐที่สูงถึงร้อยละ 64 ต่อ GDP ทำให้ความสามารถในการก่อหนี้ของภาครัฐลดลง
ปัจจัยทางเศรษฐกิจดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจโดยรวมของประเทศรวมทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์ด้วย โดยเฉพาะมาตรการที่เข้มงวดของสถาบันการเงินในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อทั้งสินเชื่อโครงการ (Project Loan) และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Mortgage Loan) โดยข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยชี้ให้เห็นว่าอัตราการปฏิเสธสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Rejection Rate) อยู่ในระดับร้อยละ 67-70 ยังผลให้มูลค่าการการอนุมัติสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารพาณิชย์และธนาคารอาคารสงเคราะห์ทั่วประเทศในปี 2567 ลดลงประมาณร้อยละ 16 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2566 ทำให้คาดว่าปี 2567 จะมียอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยประมาณ 1.04 ล้านล้านบาท ลดลงร้อยละ 0.57 จากมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศที่ 1.046 ล้านล้านบาท ในปี 2566
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว LPN ปรับกลยุทธ์ธุรกิจด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานจากการปรับกระบวนการทำงานภายในทุกส่วนฝ่าย และเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน รวมถึงการลดระดับปริมาณสินค้าคงเหลือ และลดต้นทุนในการดำเนินงาน อันเป็นไปตามแนวทางในการ “สร้างความสมดุลในการบริหารจัดการ (Rebalance)” ในองค์ประกอบสำคัญในการดำเนินธุรกิจ 3 ประการ คือ สมดุลในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ (Rebalance Portfolio) สมดุลในการบริหารจัดการทรัพยากรขององค์กร (Rebalance Resources) และสมดุลในการบริหารผลตอบแทนที่เหมาะสมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน (Rebalance Stakeholders’ Benefits) รวมทั้งได้ต่อยอดแนวทางการบริหารจัดการสู่การเป็นองค์กรสีเขียวภายใต้แนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) ด้วยการกำหนดแนวทางและมาตรฐานการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการทำงานตามแผนเป้าหมายการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 2.5 ต่อปี
จากแนวทางการดำเนินธุรกิจดังกล่าวและความร่วมแรงร่วมใจของทีมงานทุกคน ทำให้ปี 2567 เป็นอีกปีที่ LPN สามารถฝ่าคลื่นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ผมขอขอบคุณทุกความทุ่มเทของผู้บริหาร พนักงาน และพันธมิตรทางธุรกิจที่สนับสนุนการทำงานที่ผ่านมา รวมทั้งความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากผู้ถือหุ้น ทุกความสนับสนุนเป็นกำลังใจสำคัญที่ผลักดันให้ LPN ไม่หยุดที่จะพัฒนาสินค้าและบริการที่ดีที่สุด ภายใต้ปณิธานของการส่งมอบ “คุณภาพชีวิตที่ดี” ด้วยการพัฒนาโครงการที่ “น่าอยู่” เพื่อส่งมอบความสุขที่แท้จริงของการอยู่อาศัยให้กับคนไทยทุกคน และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับองค์กรและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มต่อไป
อมรศักดิ์ นพรัมภา
ประธานกรรมการบริษัท