LPN ยอดจองยังพุ่งท่ามกลางความร้อนแรงทางการเมืองเหตุบ้านเป็นปัจจัย 4 และความมั่นใจของลูกค้าต่อแบรนด์ LPN
LPN วัดอุณหภูมิตลาดคอนโด ท่ามกลางความผันผวนทั้งเศรษฐกิจและการเมือง พบดีมานด์จำนวนมากจากความเชื่อมั่นของลูกค้าในแบรนด์ LPN ส่งผลยอดขาย "ลุมพินี เพลส พระราม 9-รัชดา" ทะลุเป้า ถือเป็นบทพิสูจน์ความแข็งแกร่งของ LPN ในการ ลงแข่งขันในตลาดซิตี้คอนโดใจกลางเมือง ย้ำความต้องการยังคงมีต่อเนื่องแม้ปรับราคาเพิ่มตามต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้นไม่หยุด
ลุมพินี เพลส พระราม 9 - รัชดา - - นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า ตามที่บริษัทฯ ได้เปิดขายโครงการลุมพินี เพลส พระราม 9 - รัชดา เมื่อวันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ทั้งสถานการณ์ทางการเมืองที่ร้อนระอุ ความไม่มั่นใจของผู้บริโภคจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และต้นทุนการก่อสร้างที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น บริษัทฯ จึงได้ปรับกลยุทธ์การขายโดยเปิดขายห้องชุดจำนวนเพียง 30% ของห้องชุดทั้งหมดในราคาพิเศษเฉพาะวันแรกที่เปิดขาย ซึ่งพบว่ามีผู้ให้ความสนใจจองซื้อห้องชุดจำนวนมาก บริษัทฯ จึงต้องขยายจำนวนห้องชุดที่เปิดขายเพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าว และจำเป็นต้องเปิดขายในวันต่อมาด้วยราคาขายที่ปรับเพิ่มขึ้นอีก 5 % เพื่อบริหารความเสี่ยงด้านต้นทุน ซึ่งก็ยังคงได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า โดยสามารถทำยอดขายรวมได้ถึง 70% คิดเป็นมูลค่ากว่า 1,820 ล้านบาท
"การที่โครงการลุมพินี เพลส พระราม 9-รัชดา ได้รับการตอบรับที่ดีมาก จนทำให้ยอดขายพุ่งสูงเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ เนื่องจากลูกค้าให้ความเชื่อมั่นในชื่อเสียงและแบรนด์ของ LPN ทั้งในด้านมาตรฐานคุณภาพการก่อสร้าง การบริหารชุมชน รวมถึงความสามารถในการควบคุมต้นทุนการก่อสร้าง ซึ่งมีผลต่อการกำหนดราคาขายที่สามารถทำการแข่งขันได้และตรงกับความต้องการของลูกค้า ประกอบกับยังคงมีความต้องการที่อยู่อาศัยใจกลางเมืองจำนวนมาก ซึ่งลุมพินี เพลส พระราม 9-รัชดา สามารถตอบสนองความต้องการในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านทำเลที่ตั้งที่อำนวยความสะดวกในการเดินทางทั้งโดยรถไฟฟ้าและทางด่วน ทำให้ได้รับการตอบรับที่ดีและคาดว่าจะยังคงได้รับความสนใจจากลูกค้าอย่างต่อเนื่องแม้จำเป็นต้องปรับราคาเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของบริษัทในการเป็นผู้พัฒนาซิตี้คอนโดในเมืองท่ามกลางการการแข่งขันที่มีอยู่สูง" กรรมการผู้จัดการ LPN กล่าว
นายโอภาสกล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากนี้ บริษัทฯ ยังคงต้องประเมินสถานการณ์ด้านราคาน้ำมันและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อต้นทุนการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง เพื่อกำหนดราคาขายห้องชุดที่เหลือทั้งหมดอย่างเหมาะสมโดยไม่เป็นการเพิ่มภาระต่อผู้ซื้อมากจนเกินไป เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยคุณภาพเป็นของตนเอง ซึ่งเป็นเจตนารมณ์ในการพัฒนาโครงการของบริษัทมาโดยตลอด