แอลพีเอ็นชี้ปี51เจาะตลาดล่างรับมือปัจจัยลบ
"แอล.พี.เอ็น" หวั่นปัญหาซัมไพร์มพ่วงปัจจัยลบ กฎหมายเอสไครว์ฯ-พ.ร.บ.อาคารชุดฉบับแก้ไข กระทบตลาดอสังหาฯ คาดแนวโน้มเศรษฐกิจยังไม่ดี หวั่นการปล่อยสินเชื่อรายย่อยทรุด หันเน้นลงทุนตลาดกลาง-ล่าง เล็งเปิด 6-8 โครงการ มูลค่ารวม 1.2 หมื่นล้านบาท คาดปีนี้ยอดขายโต 20%
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ จะยังทรงตัว ไม่เติบโตมากนัก เนื่องจากปัจจัยลบภายนอก ตั้งแต่ผลกระทบจากปัญหาซับไพร์ม หรือสินเชื่อด้อยคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานของสหรัฐอเมริกา สภาวะการเมือง และเศรษฐกิจที่ยังไม่มั่นคงของไทย
รวมทั้งหลังจากรัฐบาลประกาศใช้บังคับพระราชบัญญัติอาคารชุด ฉบับปรับปรุง และกฎหมายเร่งกฎหมายเอสโครว์แอคเคาท์ (กฎหมายคุ้มครองเงินดาวน์ในการซื้ออสังหาริมทรัพย์) ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสดหมุนเวียนของผู้ประกอบการรายเล็ก เนื่องจากลูกค้าจะต้องวางเงินดาวน์ผ่านเอสโครว์ เอเย่นต์ ก่อนจะส่งให้บริษัทเจ้าของโครงการ ในวันที่โอนกรรมสิทธิ์
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังเชื่อว่า จะมีนักลงทุนจากต่างชาติเข้ามาลงทุนเพิ่มมากกว่าปีที่แล้ว หลังจากมีการจัดเลือกตั้งและรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้ระดับหนึ่ง
ในส่วนของแอล.พี.เอ็น.ไม่ได้รับผลกระทบมากนักเพราะเก็บเงินดาวน์ที่ 10% ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ คาดว่าจะทรงตัวไม่ปรับขึ้นมากนัก แต่สิ่งที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วงคือ ยอดการปฏิเสธสินเชื่อจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แม้ว่าการปล่อยสินเชื่อจะมีการแข่งขันรุนแรงก็ตาม
โดยบริษัทคาดว่าจะมีลูกค้าถูกปฏิเสธสินเชื่อประมาณ 7.5% ขณะที่ปีก่อนอยู่ที่ 5% เท่านั้น โดยตลาดรวมมียอดการถูกปฏิเสธสินเชื่อมากกว่า 15%
ส่วนโครงการที่บริษัทจะเน้นสร้างมากในปีนี้คือ โครงการคอนโดมิเนียมระดับกลางและล่าง ที่มีราคาขายอยู่ที่ 6-7 แสนบาท/ยูนิต ภายใต้แบรนด์ ลุมพินี คอนโดทาวน์ จำนวน 6 โครงการ ต่อเนื่องจากปีที่แล้วที่เปิดไปแล้ว 7 โครงการเข้ามาทำตลาดมากขึ้น เนื่องจากตลาดดังกล่าวยังไม่มีผู้ประกอบการเข้ามาทำตลาดมากนัก
ประกอบกับการทดลองเปิดโครงการในปีที่ผ่านมา 3 โครงการได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ขณะที่บริษัท พรสันติ จำกัด ในเครือแอล.พี.เอ็น. จะมีโครงการพัฒนาอาคารพาณิชย์ใหม่ทั้งสิ้น 5 โครงการ บนทำเลย่านนวมินทร์ 1 โครงการ ย่านสุทธิสาร 2 โครงการ ย่านรามอินทรา 1 โครงการและปิ่นเกล้า 1 โครงการ รวมมูลค่าโครงการราว 100 ล้านบาท และคาดว่าจะมีรายได้ในปีนี้ 450 ล้านบาท จากปี 2550 มีรายได้ที่ 50 ล้านบาท
แผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ บริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่เข้ามาทำตลาดอีก 6-8 โครงการ รวมมูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท โดยในช่วงไตรมาส 1-3 บริษัทจะทำการเปิเตัวโครงการใหม่ จำนวน 6 โครงการแบ่งเป็น โครงการลุมพินีคอนโดทาวน์ 4 โครงการ และโครงการลุมพินีเพรส 2 โครงการ ส่วนอีก 2 โครงการอยู่ระหว่างการพิจารณา
ซึ่งภายหลังจากเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะมีรายได้รวมเติบโตจากปีที่แล้ว 20% ที่มียอดขายรวมอยู่ที่ 9,000 ล้านบาท
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2551