เปิดโผหุ้นรับพิษ พ.ร.บ.ต่างด้าว
กลุ่มอสังหาฯ โดนหนัก พบไรมอนแลนด์-โกลเด้นแลนด์ ต่างชาติสิทธิออกเสียงเกิน 70%
เปิดโผหุ้นที่ได้รับผลกระทบจาก พ.ร.บ.ต่างด้าวฉบับแก้ไข กลุ่มอสังหาริมทรัพย์หนัก โดยเฉพาะไรมอนแลนด์ และโกลเด้นแลนด์ ที่ต่างชาติมีสิทธิออกเสียงเกิน 70% ขณะที่ผู้บริหาร บจ.ต่างชาติ รอความชัดเจนก่อนตัดสินใจขายหุ้น "วิชิต" ยืนยันไทยพาณิชย์ ไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีของกุหลาบแก้ว
นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล รองกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ กล่าวฝ่ายวิจัยได้ประเมินหุ้นที่มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบจากการแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยเป็นบริษัทที่มีต่างชาติถือหุ้นเกินเพดาน ประกอบด้วย 16 บริษัท และในกลุ่มบริษัทดังกล่าวมี 10 บริษัทที่เกินทั้งเพดานการถือหุ้นกับสิทธิในการออกเสียง
ประกอบด้วยบริษัท อาปิโก ไฮเทค(AH)ต่างชาติถือหุ้น 49% สิทธิในการออกเสียงสูง ถึง 56% บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) ต่างชาติถือหุ้น 48.7% สิทธิในการออกเสียง 52% บริษัท จรุงไทย ไวร์ แอนด์ เคเบิ้ล (CTW) ต่างชาติถือหุ้น 47.1% มีสิทธิในการออกเสียง 51% บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (GOLD) ถือหุ้น 49% มีสิทธิออกเสียง 73%
บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) มีต่างชาติถือหุ้น 37.5% สิทธิออกเสียง 51%บริษัท แอล.วี.เทคโนโลยี (LVT) ถือหุ้น 49% สิทธิออกเสียง 52%บริษัท ผาแดง อินดัสทรี (PDI) ถือหุ้น 49% สิทธิออกเสียง 59% บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง (PSL)ถือหุ้น 48.7% และสิทธิออกเสียง 53%บริษัท ไรมอนแลนด์(RAIMON) ถือหุ้น 49% มีสิทธิออกเสียง 77%บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) ต่างชาติถือหุ้น 49% สิทธิออกเสียง 57% บริษัท ยูไนเต็ดคอมมูนิเกชั่น อินดัสตรี (UCOM) ถือหุ้น 48.9% สิทธิออกเสียง 50%
นอกจากนั้นยังมี บริษัทในกลุ่มชิน คอร์ป ประกอบด้วยบริษัท แอดวานซ์อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) บริษัท ไอทีวี (ITV) บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น (SHIN) ขณะเดียวกันนี้ ยังมีบริษัทที่ก่ำกึ่งที่ต่างชาติมีสิทธิออกเสียงได้เกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนหุ้นที่ออกเสียงได้ ประกอบ บริษัท เคปเปล ไทย พร็อพเพอร์ตี้(KTP) จำนวนผู้ถือหุ้น 48.8% สิทธิออกเสียง 49.64% และบริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล(TICON) ผู้ถือหุ้น 49% สิทธิออกเสียง 49.42%
ส่วนการประเมินเบื้องต้นของ บล.กรุงศรีอยุธยา ระบุว่า ผลกระทบของร่างแก้ไข พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยใช้เกณฑ์ สัดส่วน Foreign Holding เกิน 50% และอยู่ในธุรกิจที่ห้ามบุคคลต่างด้าวทำตามบัญชี 1-3 ซึ่งพบว่าบริษัทที่เข้าข่ายมีผู้ถือหุ้นต่างด้าวเกิน 50% ส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าข่ายบัญชี 1-3 เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ หรืออยู่ในธุรกิจที่มีกฎหมายเฉพาะดูแลที่ได้รับการยกเว้น อาทิเช่น กลุ่มหลักทรัพย์ ส่วนกลุ่มธุรกิจโรงแรมที่อยู่ในบัญชี 3 ไม่มีบริษัทใดที่มีสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างด้าวเกิน 50% ในการลดสัดส่วนการถือหุ้นและสิทธิในการออกเสียงให้ต่ำกว่า 50% เฉพาะบัญชี 1-2 ที่ไม่อนุญาตให้บุคคลต่างด้าวประกอบกิจการด้านถือหุ้น
เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนที่เข้าข่ายบัญชี 1-2 มีสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างด้าวไม่เกิน 50% ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าการยกร่างแก้ไขดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนในตลาด อย่างเป็นนัยสำคัญ ยกเว้นกลุ่มสื่อสาร โดยเฉพาะกรณีกุหลาบแก้วที่หากถูกตีความเป็นนอมินี จะส่งผลให้บริษัทในเครือ SHIN รวมถึง บริษัท ยูคอม มีความเสี่ยงเข้าข่ายบุคคลต่างด้าว แต่ต้องรอดูผลการตรวจสอบกรณีกุหลาบแก้วให้ชัดเจนเสร็จสิ้นก่อน
โดยหาก กุหลาบแก้ว เป็นนอมินี ก็จะส่งผลให้บริษัท ชิน กลายเป็นบริษัทต่างชาติ ที่มีผู้ถือหุ้นต่างด้าวกว่า 96.3% ซึ่งหมายรวมถึงสิทธิออกเสียงก็จะมากกว่า 50% ตาม พ.ร.บ. ใหม่ด้วย ซึ่งจะส่งผลสะท้อนเป็นลูกโซ่ไปยังบริษัทในเครือ ให้กลายเป็นบริษัทต่างชาติ ส่วนหุ้นชินแซทเทลไลท์(SATTEL) และบริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ(CSL) แม้สัดส่วนผู้ถือหุ้นจะไม่เกิน 50% แต่คาดว่าสิทธิในการออกเสียงมีแนวโน้มที่จะมากกว่าเกณฑ์ แต่หากผลการตรวจสอบ บ.กุหลาบแก้ว ปรากฏว่าไม่เป็นนอมินี จะทำให้บริษัทชิน คอร์ป และบริษัทในเครือ คงสภาพเป็นบริษัทสัญชาติไทย
ในกรณีที่ บริษัท ชิน เป็นบริษัทต่างชาติ มองว่าแนวทางแก้ไขหนึ่งที่เป็นไปได้ คือ กลุ่มเทมาเส็ก ขายหุ้นชิน เพื่อลดสัดส่วนให้ไม่เกิน 50% ในเบื้องต้นเราคาดว่ากลุ่มเทมาเส็กต้องขายหุ้นกว่า 1,400 ล้านหุ้น หากเปรียบเทียบกับราคาหุ้นในปัจจุบันจะคิดเป็นมูลค่าประมาณ 32,900 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้ปัญหานอมินีภายในโครงสร้างผู้ถือหุ้นของกลุ่มชินหมดไป อย่างไรก็ดีอาจมีปัญหาว่าจะมีนิติบุคคลหรือบุคคลสัญชาติไทยคนใดสนใจซื้อหุ้น SHIN ด้วยจำนวนเงินมหาศาลนี้ ซึ่งอาจเป็นเหตุผลให้ต้องหาผู้ร่วมทุนมากกว่า 1 ราย รวมถึงอาจมีการขายหุ้นคืนให้นักลงทุนรายย่อย เพื่อเป็นการเพิ่ม Free Float จากปัจจุบันที่มีเพียง 3.7% ให้ไม่น้อยกว่า 15% ตามเกณฑ์ตลาด
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
วันพฤหัสบดี ที่ 11 มกราคม 2550
== ข่าวแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ ==
ที่ LPN/IR/1/50
วันที่ 11 มกราคม 2550
เรื่อง ขอชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีสารสนเทศจากกรุงเทพธุรกิจ
เรียน กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
อ้างถึงสารสนเทศจากกรุงเทพธุรกิจ วันที่ 11 มกราคม 2550 ที่ระบุว่าหุ้นของ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เป็นหนึ่งในหุ้นที่มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบจาก พรบ. การประกอบธุรกิจคนต่างด้าว และเป็นบริษัทที่มีต่างชาติถือหุ้นเกินทั้งเพดานกับสิทธิในการออกเสียง
บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงว่า
1. ข้อบังคับของบริษัทกำหนดเรื่องของสัดส่วนการถือครองหุ้นของต่างชาติได้ไม่เกิน ร้อยละ 39 ซึ่งหุ้นของบริษัท ณ ปัจจุบันที่ต่างชาติถือครองมีสัดส่วนร้อยละ 37.5 จึงไม่มีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจาก การแก้ไข พรบ. การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
2. จากสารสนเทศที่ปรากฏเรื่องสิทธิออกเสียงของต่างชาติ ระบุว่าบริษัทมีสัดส่วนที่ ร้อยละ 51 นั้นเป็นสมมติฐานมาจากการไม่นับรวมหุ้นของ บริษัท ไทย เอ็นวีดีอาร์ จำกัด ซึ่งจากข้อเท็จจริง บริษัท ไทย เอ็นวีดีอาร์ จำกัด เป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นนิติบุคคล สัญชาติไทย ที่มีสิทธิออกเสียงในสัดส่วนของคนไทย บริษัทจึงมีผู้ถือหุ้นต่างชาติที่มีสิทธิออกเสียงในสัดส่วน ร้อยละ 39 เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์ข้อเท็จจริงของบริษัทฯแล้วนั้น บริษัทไม่มีความเสี่ยงที่จะได้รับ ผลกระทบตามที่ปรากฏอยู่ในสารสนเทศแต่อย่างใด และบริษัทจะดำเนินการศึกษาถึงความชัดเจนของ ข้อมูลที่มีการแก้ไขใหม่ถึงความเกี่ยวข้องกับธุรกิจของบริษัทอีกด้วย
จึงแจ้งมาเพื่อทราบ
ขอแสดงความนับถือ
(นายโอภาส ศรีพยัคฆ์)
กรรมการ ผู้จัดการ
บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)